มาต่อกันในบทความบทที่
3 ของชุดนี้ คุณลุงการุณย์ บุญมานุชได้เขียนต่อมา ดังนี้
เหตุใดต้องพิจารณาสติปัฏฐาน ๔
เป็นคำตอบที่ผู้รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมมา
แปลว่าธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า คือ ใจทำหน้าที่เป็นประธานใหญ่
ใจเป็นผู้สั่งการ ใจเป็นผู้ปกครอง นี่คือความหมาย
- ปัญหาจึงมีอยู่ว่าใจของนั้นเป็นใจของธาตุธรรมฝ่ายใด?
ต้องตอบคำถามนี้ก่อน เพราะบางเวลาอารมณ์เราบันเทิง
บางเวลาใจหงุดหงิด บางเวลาเราอยากจะฆ่าแกง บางโอกาสใจเราก็เฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย
คนเดียวนี้เอง
เหตุใดใจของเราจึงมีสภาพใจเป็นธรรม ๓ ฝ่าย? คือ ใจบันเทิง เป็นใจของภาคกุศล ใจหงุดหงิดอยากฆ่าแกง เป็นใจของอกุศล
ใจเฉย ๆ บุญไม่ทำกรรมไม่ก่อ เป็นใจของธรรมภาคกลาง
นั่นคือธรรมทุกฝายแสวงหาอาณานิคม แสวงหาเมืองขึ้น
แสวงหาอำนาจปกครอง เข้ามายึดใจของมนุษย์ ธรรมฝ่ายใดมีกำลังมาก? ธรรมฝ่ายนั้นก็เข้ายึดใจได้
เมื่อยึดใจได้แล้ว ก็แสดงอานุภาพแห่งธาตุธรรมนั้นๆ ให้ปรากฏ เช่น
ธาตุธรรมฝ่ายกุศลยึดอำนาจได้เราก็มีใจบันเทิง
หากภาคกิเลสคือมารยึดได้เราก็หงุดหงิดอยากแก้แค้น
หากธรรมภาคกลางยึดได้เราก็มีสภาพใจเฉย ๆ
การที่ท่านสอนให้เราพิจารณาสติปัฏฐาน ๔
ก็เพื่อให้เราชำระใจไม่ให้ภาคกิเลสหรือภาคมารมาครอบครอง เพราะให้ผลเป็นทุกข์แก่เรา
หากเราไม่พิจารณา ก็เหมือนกับเราไม่อาบน้ำชำระร่างกาย
ส่งผลให้ร่างกายสกปรก ความสกปรกเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค จะทำให้เราเป็นโรค นั่นเอง
วิธีการพิจารณาให้ทำดังนี้
เดินวิชา ๑๘ กายเป็นอนุโลมปฏิโลมจนกว่ากายและดวงธรรมจะมีความใส
จนถึงขั้นใจของเราเกิดอารมณ์บันเทิงใจ จากนั้นอาราธนากายธรรมพระอรหัตเดินวิชาถอยหลังเป็นปฏิโลมกลับมา
ถึงกายมนุษย์
กายธรรมเข้าสู่ในท้องของกายมนุษย์ กายเข้าสู่กายใด? ต้องเข้ามาตามฐานคือตั้งแต่ฐานที่ ๑ - ๗ ครั้นกายธรรมเข้าสู่ฐานที่ ๗ แล้ว
ให้นึกอาราธนากายธรรมส่งรู้ส่องญาณมองดูดวงธรรมในท้องกายมนุษย์
ครั้นเห็นดวงธรรมแล้วประคองใจให้นิ่ง ท่องใจหยุดในหยุดเข้าไว้
เห็นดวงธรรมชัดเจนแล้ว จะดูอะไร? ต้องเจาะไปทีละอย่างให้แจ้งไปทีละอย่าง
ต้องนึกถึงสิ่งที่จะดูนั้นเพียงอย่างเดียว แล้วจะเห็นสิ่งนั้น
เมื่อเห็นแล้วจึงพิจารณาไปตามบทบัญญัติแห่งหลักสูตรนั้นๆ เช่น
๑) จะพิจารณากาย
ท่องใจหยุดในหยุดแล้วนิ่งใจจรดกลางดวงธรรม นึกดูดวงกาย
ดวงกายเป็นดวงใสรองรับใจ (ใจคือเห็น จำ คิด รู้) นึกดูศูนย์กลางของดวงกาย
เราก็เห็นว่า ดวงกายนี้มีดวงแก่ ดวงเจ็บ ดวงตาย มาหุ้มเป็นชั้นๆ
ดวงแก่สีน้ำตาล ดวงเจ็บเป็นดวงขุ่น ต่อไปก็ดำ
ดวงตายเป็นดวงดำประดุจนิล ดวงเหล่านี้มาหุ้มแล้ว ส่งผลให้กายมนุษย์ต้องแก่
ต้องเจ็บ และตาย ดวงเหล่านี้ทำหน้าที่เผาผลาญ
เมื่อเราส่งใจกายธรรมจรดใจลงไปกลางดวงกาย
เราก็เห็นความแปรปรวนของกายว่ากายนี้ประกอบด้วยธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม
ประกอบเป็นร่างกายของเราขึ้นมา
เห็นความเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นคนมีอายุ แล้วก็ตายไป เป็น อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา ท่านจึงกล่าวว่าไม่ให้เรายึดมั่นกาย เพราะเราบังคับไม่ได้ มีแต่แก่ เจ็บ
ตาย
กายธรรมต่อรู้ต่อญาณให้ เราจึงเห็นไปตามที่กายธรรมท่านทำให้
นี่คือการพิจารณากายมนุษย์ กายอื่นๆ คือกายทิพย์ กายพรหม
กายอรูปพรหม เรายังไม่ได้พิจารณา
จะเห็นได้ว่า
วิชาธรรมกายนั้น เป็นสติปัฏฐาน 4 อย่างแจ้งชัด
สามารถอธิบายการเห็นกายได้อย่างละเอียด ชัดเจน สามารถเข้าใจพระไตรลักษณ์ หรือ อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตาของกายโลกีย์ทั้งหลาย อย่างทั้งรู้ ทั้งเห็น
ไม่ต้องไปคิดพิจารณามั่วๆ
อย่างที่สายยุบหนอพองหนอหรือสายนามรูปสอน....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น