ผมได้วิพากษ์วิจารณ์คำสอนของพระพม่า การปฏิบัติธรรมของสายยุบหนอพองหนอ และการปฏิบัติธรรมของสายนาม มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ผมวิพากษ์วิจารณ์ว่า
คำสอนของพระพม่าผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของพระพุทธองค์
เมื่อคนไทยใจพม่านำความรู้ของพระพม่าเข้ามา ก็ทำให้ความผิดเพี้ยนนั้น
ติดเข้ามาด้วย
ความที่เข้ามากับคนไทยใจพม่านั้น
ถ้าเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ก็น่าจะรับไว้พิจารณา แต่ปรากฏว่า
ความมืดบอดทางปัญญาของคนไทยใจพม่า กลับเอาวิชาผิดๆ
ของพระพม่ามาโจมตีการปฏิบัติธรรมในประเทศไทย
คนไทยใจพม่าโจมตีสายปฏิบัติธรรมในเมืองไทยทุกสายว่า
เป็นเพียงสมถกรรมฐาน ไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน
ปฏิบัติไปก็เสียเปล่า ไม่มีทางไปนิพพานได้
มันต้องของพระพม่า
มันถึงจะบรรลุภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน
ผมศึกษาคำสอนของกลุ่มนี้มานาน ครูบาอาจารย์ตายไป 2 รุ่นแล้ว
ก็ยังไม่เห็นมีใครในสายนี้ ใกล้ความเป็นพระอรหันต์เสียที
ต้นสายเองของพระพม่า
คือ พระมหาสีสะยาดอว์ ก็ไม่ได้ไปสุคติภูมิ ต้นสายที่เอามาเผยแพร่ในเมืองไทย คือ
พระมหาโชดก ก็ไม่ได้ไปสุคติภูมิ
ไม่ต้องพูดถึงว่า
ใกล้ถึงความเป็นพระอรหันต์หรือไม่
เมื่อวิพากษ์วิจารณ์กันมานานแล้ว คราวนี้ ถึงคราวที่จะแนะนำกันบ้าง
ผมจะแนะนำการปฏิบัติธรรมแบบสติปัฏฐานในแบบของวิชาธรรมกาย
ผมจึงตั้งชื่อว่า
“กายธรรมสติปัฏฐาน”
ขอบอกก่อนว่า
ไม่ได้คิดขึ้นมาใหม่เอี่ยม แต่เป็นเพียงอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปติปัฏฐาน 4 ตามคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติธรรมสำหรับคนที่ฝึกสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปมานานแล้ว
ทำไมจะต้องสอนกายธรรมสติปัฏฐานด้วย
1) วิชาธรรมกายนั้น เป็นสติปัฏฐานอยู่แล้ว
อันที่จริง
ธรรมะทุกหัวข้อก็เป็นสติปัฏฐาน เพราะ
สติปัฏฐานนั้นเป็นพื้นฐานของหัวข้อธรรมะทั้งปวง
ผมขอยกคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำอีกครั้งหนึ่ง
ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนไว้ในการเทศน์เรื่อง “รตนตฺตยคมนปณามคาถา”
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2492 ในเรื่องนี้ ไว้ดังนี้
การเข้าถึงพระรัตนตรัยต้องใช้ กาย-วาจา-ใจที่ละเอียด
ที่หยาบเข้าไม่ถึง กายที่ละเอียดซึ่งได้กับกายสังขาร
วาจาที่ละเอียดซึ่งได้กับวจีสังขาร ใจที่ละเอียดซึ่งได้กับจิตสังขาร
- กายสังขาร คือ ลมหายใจเข้าออกซึ่งปรนเปรอกายให้เป็นอยู่
- วจีสังขาร คือ ความตรึกตรองที่จะพูด
- จิตสังขาร คือ ความปรุงของจิตสำหรับใช้ทางใจ
กายสังขารสงบ คือ
ลมหายใจหยุด วจีสังขารสงบ คือ ความตรึกตรองหยุด
จิตสังขารสงบ คือใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ชื่อว่าสันติ
ลมหยุดลงไปในที่เดียวกันชื่อว่า อานาปาน
ซึ่งแปลว่า ลมหยุดนิ่งหรือไม่มี
เมื่อสังขารทั้งสามหยุดถูกส่วนเข้าแล้ว เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ด้วย
ส่วนหนึ่งเมื่อสังขารสงบมีความสุขเกิดขึ้น เรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จิตคิดว่าเป็นสุขเรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในเมื่อสติปัฏฐานทั้งสามถูกส่วนพร้อมกันเข้า
เกิดเป็นดวงใสขึ้นเท่าฟองไข่แดงหรือเท่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์
ใสบริสุทธิ์สนิทเหมือนกระจกส่องเงาหน้า นั่นแหละ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ดวงนี้บางท่านเรียกว่า พระธรรมดวงแก้ว
โบราณท่านใช้แปลในมูลกัจจายว่า “ปฐมมรรค”
2) ผมเห็นกายธรรมในขณะที่ผมปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอ
ผมรู้จักการปฏิบัติธรรมครั้งแรกในชีวิต
ก็คือ วิชาธรรมกาย
จากเอกสารเผยแพร่ของศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม-วัดวรณีธรรมกายาราม-วัดพระธรรมกาย
ผมไม่สามารถจินตนาการให้เห็นฐานที่
7 ได้ ผมจึงสลับการฝึกธรรมกายกับวิชาอื่นๆ เช่น พุทโธ นะมะพะทะ และยุบหนอพองหนอ
บ้าง
ในบางคืน บางชั่วโมง ผมปฏิบัติทั้ง 4 แบบ
การปฏิบัติธรรมทั้ง
4 แบบนั้น แบบที่ผมทำได้ก้าวหน้ากว่าเขาก็คือ แบบยุบหนอพองหนอ เพราะ การพิจารณาการเคลื่อนไหวของท้อง
มันง่าย สะดวก จิตวอกแวกไปหาเรื่องอื่นๆ น้อยกว่าการปฏิบัติธรรมแบบอื่นๆ
วันหนึ่ง
ในขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ตอนนั้นเป็นเดือนเมษายน
อากาศร้อนมาก
ผมจึงกึ่งนั่งกึ่งนอนหงาย
ถอดเสื้อออก และสังเกตดูการเคลื่อนไหวของท้องตัวเอง
สักพักหนึ่ง
ผมสังเกตว่า ท้องผมไม่ขยับเขยื้อน ผมผงกหัวขึ้นดู เห็นรอยบุ๋มเล็กอยู่เหนือสะดือ
ผมลองเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไปวัด ปรากฏว่า รอยบุ๋มนั้น อยู่ห่างจากสะดือ 2
นิ้วมือจริงๆ
แสดงว่า
เมื่อลมสงบ ลมหายไปใจไปหยุดอยู่ที่ระดับเหนือสะดือ 2 นิ้วมือ
ตามคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำจริง
สักพักหนึ่ง
ผมเห็นกายธรรมในท้องของผม
เป็นการเห็นโดยรอบ เห็นกายธรรมทั้งข้างนอก ข้างใน บน ล่าง ซ้าย ขวา เกิดความสุขจากความสงบ
จะเห็นได้ว่า
ประสบการณ์ของผม ตรงกับคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำเป๊ะ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขารของผมสงบนิ่ง
ลมหายใจหยุดเหมือนไม่มี ผมจึงเห็นดวงปฐมมรรค ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หรือดวงเอกายนมรรค
แต่ผมเห็นเป็นกายธรรมก่อน
หลวงพ่อวัดปากน้ำเคยสอนว่า
ระหว่างคนที่เห็นดวงปฐมรรคก่อน กับคนที่เห็นกายธรรมก่อน
คนที่เห็นกายธรรมก่อนเป็นคนที่มีบุญบารมีมากกว่า
โดยสรุป
ในบทความชุดนี้
ผมต้องการแนะนำผู้ที่เคยปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอกับแบบนามรูป ที่เคยเชื่อผิดๆ
ว่า การปฏิบัติธรรมแบบดังกล่าวเป็นสติปัฏฐาน 4 อย่างเต็มที่ สมบูรณ์แบบ
และสามารถไปนิพพานได้
การปฏิบัติแบบยุบหนอพองหนอกับแบบนามรูปนั้น
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเท่านั้น และเป็นเพียงส่วนนิดเดียว
ไม่สามารถบรรลุหัวข้อธรรมะในระดับสูงๆ ได้
เมื่อท่านเหล่านั้น
อยากจะเปลี่ยนแปลง หรืออยากจะทดลองของใหม่ๆ ดูบ้าง
ผมจึงจะแนะนำการปฏิบัติธรรมที่ยังคงรักษาแนวเดิมไว้ และเพิ่มสิ่งใหม่ๆ เข้าไป
วิธีที่ผมแนะนำไปนี้
ผมทำได้แล้ว โดยบังเอิญ ดังนั้น คนอื่นๆ
ก็ควรจะทำได้ และไม่ใช่เป็นการค้นพบโดยบังเอิญแบบผม...
ในทางวิชาธรรมกาย การปฏิบัติธรรมสายอื่นๆ เป็นกรรมฐานของภาคมารไม่ใช่เหรอครับ
ตอบลบแล้วท่านไปปฏิบัติสายอื่นแบบนี้ บารมีจะไม่ปะปนเหรอครับ (ว่าแต่ว่า "บารมีปะปน" คืออะไรเหรอครับ ใช่การมีรอยใจของกรรมฐานภาคมารติดตัวไปชาติหน้าหรือเปล่า)
แล้วจะเป็นไรรึเปล่า ถ้าผมจะไปฝึกกสิณนอกตัวก่อน เอาพอให้เห็นนิมิตเป็น แล้วค่อยน้อมเข้าศูนย์กลางกาย เพราะผมเองก็กำหนดนิมิตที่ศูนย์กลางกายไม่ได้เหมือนกัน
1) กรรมฐานภาคมารแท้ๆ คือ การทรงเข้า ไสยศาสตร์ ฯลฯ
ตอบลบ2) กรรมฐานในประเทศไทย ถูกมารเบี่ยงเบนไป คือ ยังเป็นการเอาใจไว้กับร่างกาย ก็ยังไม่ผิดทั้งหมด
ในทางวิชาธรรมกายมีคำว่า "จะว่าถูกก็ไม่ใช่ จะว่าผิดก็ไม่ใช่" อีกสำนวนหนึ่ง "ถูกก็ถูกไม่ไหมด ผิดก็ผิดไม่หมด"
3) บารมีปะปนคือ กรรมดีทางวิชาธรรมกายก็ทำ กรรมชั่วในทางวิชาธรรมกายก็ทำ
4) ไม่ควรทำกสินนอกตัวก่อน แล้วเอาเข้าไปฐานที่ 7 ภายหลัง (เพราะเป็นไปได้ยาก) ควรเอาใจไปหยุดที่ฐานที่ 7 เห็นนิมิตก็ดี ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เพราะ ทำแค่นี้ก็ได้บารมีแล้ว
แต่การฝึกกสินนอกตัว คุณก็เหยื่อของมารไปแล้ว
แล้วที่ท่านฝึกยุบพอง นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นเหยื่อของมารหรือครับ
ตอบลบหรือว่า นั่นจัดว่าเป็นการเอาใจเข้าข้างในเหมือนกัน ไม่ถือว่าเป็นการส่งใจออกนอก
พยายามอ่าน แล้วคิดตามไปด้วย
ตอบลบ1) การปฏิบัติธรรมที่ไม่เอาใจ "หยุด" ที่ฐานที่ 7 เหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือของใครของมัน แต่ยังอยู่ในกายของตนเอง ถือว่า "ถูกมารเบี่ยงเบน" ไป จะว่าถูกก็ไม่ถูก ผิดก็ไม่ผิด
2) การฝึกที่เอาใจไป "หยุด" ของนอกกาย เช่น การเพ่งกสินนอกกาย โดยการเอาใจไปจับที่เทียนไข ฯลฯ อย่างนั้น จึงเป็นกรรมฐานมาร รวมถึงไสยศาสตร์ต่างๆ ด้วย
3) ผมฝึกวิชาธรรมกายมาก่อน แต่นึกฐานที่ 7 ไม่ออก จึงไปฝึกสายพอง-ยุบ เพราะ เอาใจหยุดใกล้กัน สายวิชาธรรมกายอยู่ในตัว แต่ผมฝึกพองยุบ เอาใจหยุดที่ ผนังท้องด้านใน
แต่ความที่เคยฝึกธรรมกายมาก่อน พอใจจะหยุด ใจจึงเลื่อนมาอยู่ฐานที่ 7 เอง
พอลมหายใจหยุด จึงเห็นกายธรรม
แล้วตอนท่านฝึกยุบพองแล้วเห็นกายธรรมน่ะ ท่านได้ส่งใจไปตามฐาน 1-2-3-4-5-6 แล้วค่อยไปหยุดที่ผนังท้องด้านในหรือเปล่าครับ
ตอบลบหรือว่า เอาใจไปหยุดที่ผนังท้องด้านในเลย ไม่จำเป็นต้องไล่ไปตามฐาน พอใจหยุดแล้วก็จะเห็นกายธรรม
จากการตอบคำถามของคุณมา ผมว่า อีกร้อยปีคุณก็ฝึกอะไรไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะวิชาธรรมกาย วิชาอะไรคุณก็ฝึกไม่ได้
ตอบลบเพราะ คุณมันขี้สงสัยไปทุกอย่าง เมื่อเป็นอย่างนี้ เมื่อไหร่ใจคุณจะหยุดได้
ปฏิบัติแบบไหนก็ช่างเถอะครับ ขอให้ดับทุกข์ได้ เป็นพอครับ
ตอบลบแล้วยุบหนอพองหนอ ซึ่งสอนผิดๆ ถูกๆ ผิดมาก ถูกน้อย มันจะดับทุกข์ได้หรือ "ทุกข์"นี่ หมายถึง "ทุกขอริยสัจ" ไม่ใช่ทุกข์แค่ปวดหัวตัวร้อน ฯลฯ
ลบ