บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

อ่านตรงนี้ก่อน


ผมได้วิพากษ์วิจารณ์คำสอนของพระพม่า การปฏิบัติธรรมของสายยุบหนอพองหนอ และการปฏิบัติธรรมของสายนาม มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว

ผมวิพากษ์วิจารณ์ว่า คำสอนของพระพม่าผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อคนไทยใจพม่านำความรู้ของพระพม่าเข้ามา ก็ทำให้ความผิดเพี้ยนนั้น ติดเข้ามาด้วย

ความที่เข้ามากับคนไทยใจพม่านั้น ถ้าเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ก็น่าจะรับไว้พิจารณา แต่ปรากฏว่า ความมืดบอดทางปัญญาของคนไทยใจพม่า กลับเอาวิชาผิดๆ ของพระพม่ามาโจมตีการปฏิบัติธรรมในประเทศไทย

คนไทยใจพม่าโจมตีสายปฏิบัติธรรมในเมืองไทยทุกสายว่า เป็นเพียงสมถกรรมฐาน ไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน  ปฏิบัติไปก็เสียเปล่า ไม่มีทางไปนิพพานได้

มันต้องของพระพม่า มันถึงจะบรรลุภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน 

ผมศึกษาคำสอนของกลุ่มนี้มานาน  ครูบาอาจารย์ตายไป 2 รุ่นแล้ว ก็ยังไม่เห็นมีใครในสายนี้ ใกล้ความเป็นพระอรหันต์เสียที

ต้นสายเองของพระพม่า คือ พระมหาสีสะยาดอว์ ก็ไม่ได้ไปสุคติภูมิ ต้นสายที่เอามาเผยแพร่ในเมืองไทย คือ พระมหาโชดก ก็ไม่ได้ไปสุคติภูมิ

ไม่ต้องพูดถึงว่า ใกล้ถึงความเป็นพระอรหันต์หรือไม่

เมื่อวิพากษ์วิจารณ์กันมานานแล้ว  คราวนี้ ถึงคราวที่จะแนะนำกันบ้าง ผมจะแนะนำการปฏิบัติธรรมแบบสติปัฏฐานในแบบของวิชาธรรมกาย

ผมจึงตั้งชื่อว่า “กายธรรมสติปัฏฐาน

ขอบอกก่อนว่า ไม่ได้คิดขึ้นมาใหม่เอี่ยม แต่เป็นเพียงอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปติปัฏฐาน 4 ตามคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติธรรมสำหรับคนที่ฝึกสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปมานานแล้ว

ทำไมจะต้องสอนกายธรรมสติปัฏฐานด้วย

1) วิชาธรรมกายนั้น เป็นสติปัฏฐานอยู่แล้ว

อันที่จริง ธรรมะทุกหัวข้อก็เป็นสติปัฏฐาน เพราะ สติปัฏฐานนั้นเป็นพื้นฐานของหัวข้อธรรมะทั้งปวง 

ผมขอยกคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำอีกครั้งหนึ่ง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนไว้ในการเทศน์เรื่อง รตนตฺตยคมนปณามคาถาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2492 ในเรื่องนี้ ไว้ดังนี้

การเข้าถึงพระรัตนตรัยต้องใช้ กาย-วาจา-ใจที่ละเอียด ที่หยาบเข้าไม่ถึง กายที่ละเอียดซึ่งได้กับกายสังขาร วาจาที่ละเอียดซึ่งได้กับวจีสังขาร ใจที่ละเอียดซึ่งได้กับจิตสังขาร

  • กายสังขาร คือ ลมหายใจเข้าออกซึ่งปรนเปรอกายให้เป็นอยู่
  • วจีสังขาร คือ ความตรึกตรองที่จะพูด
  • จิตสังขาร คือ ความปรุงของจิตสำหรับใช้ทางใจ
กายสังขารสงบ คือ ลมหายใจหยุด วจีสังขารสงบ คือ ความตรึกตรองหยุด  จิตสังขารสงบ คือใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ชื่อว่าสันติ ลมหยุดลงไปในที่เดียวกันชื่อว่า อานาปาน ซึ่งแปลว่า ลมหยุดนิ่งหรือไม่มี

เมื่อสังขารทั้งสามหยุดถูกส่วนเข้าแล้ว เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้วย

ส่วนหนึ่งเมื่อสังขารสงบมีความสุขเกิดขึ้น เรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

จิตคิดว่าเป็นสุขเรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ในเมื่อสติปัฏฐานทั้งสามถูกส่วนพร้อมกันเข้า เกิดเป็นดวงใสขึ้นเท่าฟองไข่แดงหรือเท่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ใสบริสุทธิ์สนิทเหมือนกระจกส่องเงาหน้า นั่นแหละ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ดวงนี้บางท่านเรียกว่า พระธรรมดวงแก้ว โบราณท่านใช้แปลในมูลกัจจายว่า ปฐมมรรค

2) ผมเห็นกายธรรมในขณะที่ผมปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอ

ผมรู้จักการปฏิบัติธรรมครั้งแรกในชีวิต ก็คือ วิชาธรรมกาย จากเอกสารเผยแพร่ของศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม-วัดวรณีธรรมกายาราม-วัดพระธรรมกาย

ผมไม่สามารถจินตนาการให้เห็นฐานที่ 7 ได้ ผมจึงสลับการฝึกธรรมกายกับวิชาอื่นๆ เช่น พุทโธ นะมะพะทะ และยุบหนอพองหนอ บ้าง

ในบางคืน บางชั่วโมง ผมปฏิบัติทั้ง 4 แบบ

การปฏิบัติธรรมทั้ง 4 แบบนั้น แบบที่ผมทำได้ก้าวหน้ากว่าเขาก็คือ แบบยุบหนอพองหนอ เพราะ การพิจารณาการเคลื่อนไหวของท้อง มันง่าย สะดวก จิตวอกแวกไปหาเรื่องอื่นๆ น้อยกว่าการปฏิบัติธรรมแบบอื่นๆ

วันหนึ่ง ในขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ตอนนั้นเป็นเดือนเมษายน อากาศร้อนมาก  ผมจึงกึ่งนั่งกึ่งนอนหงาย  ถอดเสื้อออก และสังเกตดูการเคลื่อนไหวของท้องตัวเอง

สักพักหนึ่ง ผมสังเกตว่า ท้องผมไม่ขยับเขยื้อน ผมผงกหัวขึ้นดู เห็นรอยบุ๋มเล็กอยู่เหนือสะดือ ผมลองเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไปวัด ปรากฏว่า รอยบุ๋มนั้น อยู่ห่างจากสะดือ 2 นิ้วมือจริงๆ

แสดงว่า เมื่อลมสงบ ลมหายไปใจไปหยุดอยู่ที่ระดับเหนือสะดือ 2 นิ้วมือ ตามคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำจริง

สักพักหนึ่ง ผมเห็นกายธรรมในท้องของผม  เป็นการเห็นโดยรอบ เห็นกายธรรมทั้งข้างนอก ข้างใน บน ล่าง ซ้าย ขวา  เกิดความสุขจากความสงบ

จะเห็นได้ว่า ประสบการณ์ของผม ตรงกับคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำเป๊ะ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขารของผมสงบนิ่ง ลมหายใจหยุดเหมือนไม่มี ผมจึงเห็นดวงปฐมมรรค ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือดวงเอกายนมรรค

แต่ผมเห็นเป็นกายธรรมก่อน

หลวงพ่อวัดปากน้ำเคยสอนว่า ระหว่างคนที่เห็นดวงปฐมรรคก่อน กับคนที่เห็นกายธรรมก่อน คนที่เห็นกายธรรมก่อนเป็นคนที่มีบุญบารมีมากกว่า

โดยสรุป
ในบทความชุดนี้ ผมต้องการแนะนำผู้ที่เคยปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอกับแบบนามรูป ที่เคยเชื่อผิดๆ ว่า การปฏิบัติธรรมแบบดังกล่าวเป็นสติปัฏฐาน 4 อย่างเต็มที่ สมบูรณ์แบบ และสามารถไปนิพพานได้

การปฏิบัติแบบยุบหนอพองหนอกับแบบนามรูปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเท่านั้น  และเป็นเพียงส่วนนิดเดียว ไม่สามารถบรรลุหัวข้อธรรมะในระดับสูงๆ ได้

เมื่อท่านเหล่านั้น อยากจะเปลี่ยนแปลง หรืออยากจะทดลองของใหม่ๆ ดูบ้าง ผมจึงจะแนะนำการปฏิบัติธรรมที่ยังคงรักษาแนวเดิมไว้ และเพิ่มสิ่งใหม่ๆ เข้าไป

วิธีที่ผมแนะนำไปนี้ ผมทำได้แล้ว โดยบังเอิญ  ดังนั้น คนอื่นๆ ก็ควรจะทำได้ และไม่ใช่เป็นการค้นพบโดยบังเอิญแบบผม...

8 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ7 กันยายน 2556 เวลา 14:06

    ในทางวิชาธรรมกาย การปฏิบัติธรรมสายอื่นๆ เป็นกรรมฐานของภาคมารไม่ใช่เหรอครับ

    แล้วท่านไปปฏิบัติสายอื่นแบบนี้ บารมีจะไม่ปะปนเหรอครับ (ว่าแต่ว่า "บารมีปะปน" คืออะไรเหรอครับ ใช่การมีรอยใจของกรรมฐานภาคมารติดตัวไปชาติหน้าหรือเปล่า)

    แล้วจะเป็นไรรึเปล่า ถ้าผมจะไปฝึกกสิณนอกตัวก่อน เอาพอให้เห็นนิมิตเป็น แล้วค่อยน้อมเข้าศูนย์กลางกาย เพราะผมเองก็กำหนดนิมิตที่ศูนย์กลางกายไม่ได้เหมือนกัน

    ตอบลบ
  2. 1) กรรมฐานภาคมารแท้ๆ คือ การทรงเข้า ไสยศาสตร์ ฯลฯ

    2) กรรมฐานในประเทศไทย ถูกมารเบี่ยงเบนไป คือ ยังเป็นการเอาใจไว้กับร่างกาย ก็ยังไม่ผิดทั้งหมด

    ในทางวิชาธรรมกายมีคำว่า "จะว่าถูกก็ไม่ใช่ จะว่าผิดก็ไม่ใช่" อีกสำนวนหนึ่ง "ถูกก็ถูกไม่ไหมด ผิดก็ผิดไม่หมด"

    3) บารมีปะปนคือ กรรมดีทางวิชาธรรมกายก็ทำ กรรมชั่วในทางวิชาธรรมกายก็ทำ

    4) ไม่ควรทำกสินนอกตัวก่อน แล้วเอาเข้าไปฐานที่ 7 ภายหลัง (เพราะเป็นไปได้ยาก) ควรเอาใจไปหยุดที่ฐานที่ 7 เห็นนิมิตก็ดี ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เพราะ ทำแค่นี้ก็ได้บารมีแล้ว

    แต่การฝึกกสินนอกตัว คุณก็เหยื่อของมารไปแล้ว

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ8 กันยายน 2556 เวลา 09:30

    แล้วที่ท่านฝึกยุบพอง นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นเหยื่อของมารหรือครับ
    หรือว่า นั่นจัดว่าเป็นการเอาใจเข้าข้างในเหมือนกัน ไม่ถือว่าเป็นการส่งใจออกนอก

    ตอบลบ
  4. พยายามอ่าน แล้วคิดตามไปด้วย

    1) การปฏิบัติธรรมที่ไม่เอาใจ "หยุด" ที่ฐานที่ 7 เหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือของใครของมัน แต่ยังอยู่ในกายของตนเอง ถือว่า "ถูกมารเบี่ยงเบน" ไป จะว่าถูกก็ไม่ถูก ผิดก็ไม่ผิด

    2) การฝึกที่เอาใจไป "หยุด" ของนอกกาย เช่น การเพ่งกสินนอกกาย โดยการเอาใจไปจับที่เทียนไข ฯลฯ อย่างนั้น จึงเป็นกรรมฐานมาร รวมถึงไสยศาสตร์ต่างๆ ด้วย

    3) ผมฝึกวิชาธรรมกายมาก่อน แต่นึกฐานที่ 7 ไม่ออก จึงไปฝึกสายพอง-ยุบ เพราะ เอาใจหยุดใกล้กัน สายวิชาธรรมกายอยู่ในตัว แต่ผมฝึกพองยุบ เอาใจหยุดที่ ผนังท้องด้านใน

    แต่ความที่เคยฝึกธรรมกายมาก่อน พอใจจะหยุด ใจจึงเลื่อนมาอยู่ฐานที่ 7 เอง

    พอลมหายใจหยุด จึงเห็นกายธรรม

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ9 กันยายน 2556 เวลา 17:09

    แล้วตอนท่านฝึกยุบพองแล้วเห็นกายธรรมน่ะ ท่านได้ส่งใจไปตามฐาน 1-2-3-4-5-6 แล้วค่อยไปหยุดที่ผนังท้องด้านในหรือเปล่าครับ
    หรือว่า เอาใจไปหยุดที่ผนังท้องด้านในเลย ไม่จำเป็นต้องไล่ไปตามฐาน พอใจหยุดแล้วก็จะเห็นกายธรรม

    ตอบลบ
  6. จากการตอบคำถามของคุณมา ผมว่า อีกร้อยปีคุณก็ฝึกอะไรไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะวิชาธรรมกาย วิชาอะไรคุณก็ฝึกไม่ได้

    เพราะ คุณมันขี้สงสัยไปทุกอย่าง เมื่อเป็นอย่างนี้ เมื่อไหร่ใจคุณจะหยุดได้

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ23 มีนาคม 2558 เวลา 09:51

    ปฏิบัติแบบไหนก็ช่างเถอะครับ ขอให้ดับทุกข์ได้ เป็นพอครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แล้วยุบหนอพองหนอ ซึ่งสอนผิดๆ ถูกๆ ผิดมาก ถูกน้อย มันจะดับทุกข์ได้หรือ "ทุกข์"นี่ หมายถึง "ทุกขอริยสัจ" ไม่ใช่ทุกข์แค่ปวดหัวตัวร้อน ฯลฯ

      ลบ