ผมได้เขียนไปแล้วหลายครั้งหลายหนว่า
“วิธีปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอกับแบบนามรูปไม่ได้เป็น สติปัฏฐาน
4” วิธีปฏิบัติธรรมแบบยุบหนอพองหนอกับแบบนามรูปเป็นการเดินไปเดินมา
แล้วคิดเรื่องพระไตรลักษณ์เท่านั้น
แล้วผมก็เขียนไปแล้วหลายครั้งหลายหนว่า
วิชาธรรมกายนี่แหละเป็น “สติปัฏฐาน 4” ของแท้แน่นอน
นอกจากนั้นแล้ว
ผมได้นำคำสอนของวิชาธรรมกายที่เป็นสติปัฏฐาน 4 แบบสั้นๆ มานำเสนอไป 2-3
บทความแล้ว คราวนี้ จะนำเสนอสติปัฏฐาน 4
แบบวิชาธรรมกาย ซึ่งจะอธิบายทั้งปริยัติและแนวทางปฏิบัติไปด้วยกัน
สำหรับผลของการปฏิบัติ
หรือ ปฏิเวธนั้น ก็มีอยู่ในคำอธิบายอย่างพร้อมมูลด้วยแล้ว
ข้อมูลก็นำมาจากหนังสือ
“ปุจฉาวิสัชนา-วิชาธรรมกาย
และประวัติของผู้ทำวิชาปราบมาร”
ซึ่งเป็นคำถามของคณะศิษย์และคำตอบของคุณลุงการุณย์ บุญมานุช
คุณลุงการุณย์
บุญมานุชได้ตั้งคำถามนำสำหรับการอธิบายประเด็นนี้ ดังนี้
สติปัฏฐาน ๔ คืออะไร? จงอธิบายทั้งความรู้ปริยัติและความรู้ปฏิบัติ
เหตุใดจึงไม่มีใครอธิบายได้? เป็นเพราะอะไร?
คุณลุงการุณย์ได้ตอบคำถามดังกล่าว
ดังนี้
สติปัฏฐาน ๔ คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา
ธัมมานุปัสสนา
สติ คือการระลึกรู้ คือการระลึกได้ การขาดสติคือ การระลึกไม่ได้
จำไม่ได้ ลืมเสียแล้ว นึกอะไรไม่ได้ เป็นลักษณะของคนเหม่อใจลอย
ปล่อยใจล่องลอยไปตามอารมณ์ ไม่รู้จักระวังใจ เรียกว่าเป็นคนมีสติไม่มั่นคง
ท่านสอนให้เรากำหนดสติคือ ให้เราตั้งใจพิจารณา
พิจารณาเพื่อให้เกิดความรู้ขึ้นมาให้จงได้ ถ้าเราคุมใจไม่ได้คือเราคุมสติตัวเองไม่ได้
เราก็พิจารณาอะไรไม่ได้ เพราะใจอยู่ในลักษณะของความไม่พร้อมที่จะทำงานนั่นเอง
เป็นใจที่เราบังคับไม่ได้เสียแล้ว แต่กิเลสมันบังคับได้
กิเลสเขาบังคับให้ล่องลอยไปตามกระแสร้อยแปด
- ท่านให้พิจารณาอะไรหรือ?
ตอบว่าให้พิจารณา ๔ อย่างคือ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม
กาย คือตัวตนของเรา
เวทนา คืออารมณ์ทางใจ ๓ อย่าง คือสุข ทุกข์ ไม่สุขและไม่ทุกข์
(กลางๆ)
จิต คือลักษณะใจที่ผ่องใส ขุ่นมัว หรือสภาพใจที่เป็นกลางๆ
จะว่าผ่องใสก็ไม่ใช่ จะว่าขุ่นมัวก็ไม่ชัด
ธรรม ในที่นี้หมายถึง ธรรม ๓ ฝ่าย คือธรรมฝ่ายกุศล ธรรมฝ่ายอกุศล
ธรรมฝ่ายกลาง (อัพยากตาธัมมา)
การพิจารณาจะต้องให้เกิด ความเห็นจริงทางใจ คือ เกิดเป็นกัมมัฏฐานทางใจ
นี่คือความมุ่ง หวังของหลักสูตร
คราวนี้ก็มาถึงอีกความรู้หนึ่ง ท่านให้พิจารณากายในกาย คำว่า “กายในกาย” หมายถึง ท่านที่เป็นธรรมกาย
อย่างน้อยท่านก็รู้จัก ๑๘ กาย คนที่ไม่เป็นธรรมกายก็พิจารณาไม่ได้
เพราะท่านรู้จักแต่กายมนุษย์กายเดียวเท่านั้น จึงไปพิจารณากายในกายไม่ได้
และเมื่อไม่รู้จักกายในกายแล้วก็ไม่รู้เวทนาในเวทนา
ไม่รู้จิตในจิตไม่รู้ธรรมในธรรม เป็นอันว่าคนที่ไม่เป็นวิชา ๑๘ กายนั้น
จึงหมดโอกาสเรียนวิชาสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง
ต่อมาก็มาถึงอีกความรู้หนึ่ง เป็นความรู้ละเอียดขึ้นคือ มีกายที่ไหนก็มีใจครองเสมอไป
เมื่อมีใจแล้วเราก็มาดูว่า เราเอากายของเราพิจารณากาย
พิจารณาอารมณ์ใจ (สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์) พิจารณาจิต (ผ่องใส
ไม่ผ่องใสหรือเป็นกลาง จะว่าผ่องใสก็ไม่ใช่จะว่าขุ่นมัวก็ไม่เชิง) พิจารณาธรรม ๓
ฝ่ายว่าเป็นธรรมฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศล หรือเป็นอัพยากตาธัมมา นี่คือ
บทเรียนที่เขากำหนด ให้เราเรียน เราจะต้องทำให้ได้ตามที่ตำราเขาสั่งให้จงได้
โดยสรุป
วิชาธรรมกายนั้น
ในการปฏิบัติธรรมตามสติปัฏฐาน 4 จะต้อง “เห็นจริง”
กล่าวคือ
- เห็นกายจริงๆ
- เห็นเวทนาซึ่งเป็นอารมณ์สุข ทุกข์หรืออารมณ์กลางๆ จริงๆ
- เห็นจิต ซึ่งเป็นใจที่ผ่องใส ขุ่นมัว หรือสภาพใจที่เป็นกลางๆ จริงๆ
- เห็นธรรม ซึ่งเป็นธรรมขาว ธรรมดำ หรือธรรมที่เป็นกลางๆ จริงๆ
การที่ใครเรียนสติปัฏฐาน
4 ได้ ต้องทำวิชา 18 กายให้ได้ก่อน ถ้าใครทำวิชา 18 กายไม่ได้
ก็ไม่สามารถจะเห็นกายในกายได้
ก็ในเมื่อไม่สามารถเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ซึ่งอยู่ในกายต่างๆ ก็ไม่มีทางที่จะสามารถเห็นได้ ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น